วันศุกร์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2557
7.Conjunction
7.Conjunction
คือ คำสันธานเชื่อมโยงประโยค หรือเชื่อมคำต่อคำ หรือเชื่อมกิริยากับกริยา เพื่อให้เป็นประโยคใหญ่ที่มีใจความเป็นเนื้อเดียวกัน บ่งบอกความสัมพันธ์ระหว่างประโยค หรือ อนุประโยคในด้านใด
Cr : http://part-yosita.blogspot.com/p/7conjunction.html
5.Adverb
5.Adverb
คือ คำขยายกิริยามีความสัมพันธ์กับคำกิริยาอย่างใกล้ชิด ไม่ว่าคำกิริยาวิเศษณ์จะเรียงวางไว้ตรงไหนในประโยค มีหน้าที่ขยายกิริยาแล้วยังขยายคุณศัพท์ หรือไม่ก็ขยายกิริยาวิเศษณ์ด้วยตัวเอง
Type of Adverb (ชนิดของคำกิริยาวิเศษณ์)
Type of Adverb (ชนิดของคำกิริยาวิเศษณ์)
CR :http://part-yosita.blogspot.com/p/blog-page_5.html
3.Adjective
คือ คำคุณศัพท์หรือคำอธิบายลักษณะที่ไปขยายนาม หรือ สรรพนาม เพื่อบอกให้รู้ลักษณะคุณภาพ หรือ คุณสมบัติสรพพนามนั้นว่า เป็นอย่างไร เช่น ดี ชั่ว สูง ต่ำ ดำ ขาว ยาว สั้น โง่ ฉลาด อ้วน ผอม เป็นต้น ดูคำคุณศัพท์ในภาษาอังกฤษ มีความหมายตรงกับคำไทยเรียงตามลำดับดังต่อไปนี้ Good, Bad, Tall, Low, White, Long, Short, Blunt, Wise, Fat, Thin
2.Pronoun
2.Pronoun
คือ คำสรรพนาม หรือ คำที่ทำหน้าที่แทนนาม คำแทนนาม เมื่อมาทำหน้าที่แล้ว นามไม่ต้องมาทำหน้าที่ก็ได้ ดังนั้นสรรพนาม จึงเป็นเหมือนสำรอง (Substitute) คอยทำหน้าที่แทนนาม เมื่อใช้นามซ้ำกันบ่อยๆ รู้สึกเบื่อ ควรใช้สรรพนามทำหน้าที่แทนบ้าง เพื่อมิให้เกิดความซ้ำซาก
ตัวอย่างเช่น
- My boss came to his office early morning everyday.
= เจ้านายของฉันมาถึงที่ทำงานเช้าตรู่ทุกวัน
- My boss order a cup of coffee.
= เจ้านายของฉันสั่งกาแฟหนึ่งถ้วย
- My boss starts hie morning work at 8.00 o'clock.
= เจ้านายของฉันเริ่มงานตอนเช้าเวลาแปดนาฬิกา
จากตัวอย่างข้างบนนี้ทั้ง 3 ประโยคนี้ จะเห็นคำว่า "My boss" อยู่ถึงสามแห่ง หมายถึงต้องใช้คำเดียวซ้ำกันถึงสามหน ทำให้รู้สึกเบื่อโดยทั่วไปแล้วควรใช้คำสรรพนามหรือ pronoun แทนได้บ้าง เพราะไม่จำเป็นต้องใช้ซ้ำกันมากถึงขนาดนั้นโดยไม่จำเป็น ดังนี้
- My boss came to his office early morning everyday.
= เจ้านายของฉันมาถึงที่สำนักงานเช้าทุกวัน
- He order a cup of coffee.
= เขาสั่งกาแฟหนึ่งถ้วย
คำสรรพนามบุคคลว่า 'เขา' ในที่นี้หมายถึง 'เจ้านาย' ที่มีใช้อยู่แล้ว ถึงประโยคนี้จึงนำมาใช้เพื่อป้องกันความซ้ำซาก
- He starts hie morning work at 8.00 o'clock.
= เขาเริ่มงานตอนเช้าเวลาแปดนาฬิกา
คำสรรพนามบุคคล 'เขา' ในประโยคนี้เหมือนกันกับประโยคที่ผ่านมาข้างบน
Cr: http://part-yosita.blogspot.com/p/pro.html
1.Nouns
1.Nouns
คือ ชื่อ อันมีความหมายถึงชื่อทุกชนิด อะไรก็ตามที่เป็นชื่อ เรียกว่า นาม ทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นชื่อ คน, สัตว์, สิ่งของ, สถานที่, ประเทศ, ทวีป ฯลฯ ที่ขึ้นต้นด้วยคำว่า 'การ หรือ ความ' ดังนั้น หากกำหนดได้ว่า สิ่งใดเป็นชื่อเรียกขาน สิ่งนั้นก็คือ Nouns
คือ ชื่อ อันมีความหมายถึงชื่อทุกชนิด อะไรก็ตามที่เป็นชื่อ เรียกว่า นาม ทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นชื่อ คน, สัตว์, สิ่งของ, สถานที่, ประเทศ, ทวีป ฯลฯ ที่ขึ้นต้นด้วยคำว่า 'การ หรือ ความ' ดังนั้น หากกำหนดได้ว่า สิ่งใดเป็นชื่อเรียกขาน สิ่งนั้นก็คือ Nouns
Cr: part-yosita.blogspot.com
>>>Part Of Speech<<<
>>>Part Of Speech<<<
1.Nouns
2.Pronoun
3.Adjective
4.Verb
5.Adverb
6. Preposotion
7.Conjunction
8.Interjection
1.Nouns
2.Pronoun
3.Adjective
4.Verb
5.Adverb
6. Preposotion
7.Conjunction
8.Interjection
Adverb (คำกริยาวิเศษณ์)
Adverb (คำกริยาวิเศษณ์)
คำกริยาวิเศษณ์ คือ คำที่ใช้ขยาย (Modify) คำกริยา, คำคุณศัพท์ และคำกริยาวิเศษณ์ด้วยกันเอง เพื่อให้ได้ความหมายชัดเจนยิ่งขึ้น เช่น
- He runs quickly. = quickly บอกอาการของประธาน He ขยายคำกริยาคือ runs
- She is very beautiful. = very บอกปริมาณหรือระดับขยายคำคุณศัพท์คือ beautiful
- He speaks too fast. = too บอกปริมาณหรือระดับขยายคำกริยาวิเศษณ์คือ fast
ประเภทของคำกริยาวิเศษณ์ (Kinds of Adverb)
โดยปกติแล้วคำกริยาวิเศษณ์ แบ่งออกได้ 3 ประเภทใหญ่ ๆ คือ
1. Simple Adverbs = คำกริยาวิเศษณ์ทั่วไป
2. Interrogative Adverbs = คำกริยาวิเศษณ์คำถาม
3. Relative(Conjunction) Adverbs = คำกริยาวิเศษณ์เชื่อมประโยค
คำกริยาวิเศษณ์ส่วนมากจัดอยู่ในประเภท simple adverbs ส่วนประเภท interrogative, relative adverbs นั้นมีไม่มาก มีรายละเอียดดังนี้
1. Simple Adverb คือ คำกริยาวิเศษณ์ที่มีหน้าที่ขยายคำกริยา, คำคุณศัพท์และกริยาวิเศษณ์ด้วยกันเอง แบ่งออกได้ดังนี้
1. Adverb of time คือ คำกริยาวิเศษณ์ที่บอกเกี่ยวกับเวลา ทำหน้าที่ขยายคำกริยาเพื่อบอกเกี่ยวกับเวลา ใช้ตอบคำถามคำว่า
"When" เช่น
- I will do my homework tomorrow. = ฉันจะทำการบ้านของฉันวันพรุ่งนี้
- He came very late. Let's start now. = เขามาช้ามาก, เราเริ่มทำงานตอนนี้เลยดีกว่า
Adverb of Time ที่ใช้บ่อย ๆ ได้แก่
often, afterward = ภายหลัง already = เรียบร้อย
before = ก่อน immediately = ทันที
late, lately = ช้า, เร็ว ๆ นี้ once = ครั้งหนึ่ง
presently = ในเร็ว ๆ นี้(ในอนาคต) shortly = ไม่นาน
soon = ในไม่ช้านี้ still = ยัง
when = เมื่อ yet = ยัง
2. Adverb of Frequency คือ คำกริยาวิเศษณ์ที่บอกความสม่ำเสมอ, ความถี่หรือจำนวนครั้งของการกระทำ ได้แก่ often, again, sometimes, never, ever, weekly, every morning, monthly, etc. จำใช้ตอบคำถามคำว่า How often? เช่น
- He always does his work well. = เขาผู้ชายทำงานได้ดีเสมอ
- We have never seen now. = พวกเราไม่เคยเห็นหิมะเลย
- I sometimes go shopping. = ฉันไปจับจ่ายซื้อของเป็นบางครั้งบางคราว
หมายเหตุ คำว่า ever (เคย) ไม่นิยมใช้ในประโยคบอกเล่า มักใช้ในประโยคคำถามหรือเงื่อนไข (If-Sentence) เช่น
- Do you ever see Bush now? = คุณเคยพบกับคุณบุชบ้างหรือเปล่า?
3. Adverb of Place คือ คำกริยาวิเศษณ์บอกสถานที่ว่าการกระทำนั้นเกิดขึ้นที่ใด ได้แก่คำว่า near, out, inside, outside, upstairs, downstairs, here, etc. ใช้ตอบคำถามคำว่า "Where" เช่น
- My boss went outsideBangkok. = เจ้านายของฉันได้ออกจากกรุงเทพฯ แล้วจ้า
- He lives here. I want to go there. = เขาอาศัยอยู่ที่นี่ , ฉันต้องการจะไปที่นั่น
3. Adverb of Manner คือ คำกริยาวิเศษณ์ที่บอกกริยาอาการหรือคุณลักษณะที่แสดงออกมา ได้แก่คำว่า well, fast,
hard, late, probably, slowly, certainly, quietly, carefully, etc. โดยใช้ตอบคำถามว่า "How" เช่น
- Somrak fights bravely. = สมรักษ์ต่อสู้อย่างกล้าหาญ
- She speaks English well. = เขาผู้หญิงพูดภาษาอังกฤษเก่งมาก ๆ
คำกริยาบอกกริยาอาการ (Adverb of Manner) ยังแบ่งย่อยออกได้อีก ดังนี้
1. Adverb of Degree, Quality คือ คำกริยาวิเศษณ์ที่บอกลักษณะอาการนั้นอยู่ในระดับหรือคุณภาพใด เช่น
- This coffee is very good. = กาแฟนี้รสชาดดีมาก (very เป็น adverb ขยายคำคุณศัพท์คือ good
เพื่อบอกระดับของ good
- It has been a long journey but we are nearly there now. = มันเป็นการเดินทางที่ยาวนานทีเดียว
แต่ตอนนี้พวกเราใกล้จะถึงที่หมายแล้ว (nearly เป็น adverb ที่ขยาย adverb คำว่า there)
Adverb of Degree ที่ใช้บ่อย ๆ ได้แก่
very = มาก ๆ, อย่างยิ่ง quite = โดยสมบูรณ์, ทีเดียว, จริง ๆ
too = เพิ่มเติม, ด้วยเหมือนกัน nearly = เกือบทั้งหมด, ประมาณ
completely = สำเร็จ, ครบ, สมบูรณ์ absolutely = ทั้งหมด, โดยสมบูรณ์
deeply = อย่างมาก, อย่างลึกซึ้ง distinctly = ชัดเจน, แจ่มแจ้ง
enormous = ใหญ่โต entirely = สมบูรณ์, ทั้งสิ้น
greatly = อย่างยิ่งใหญ่ equally = เท่ากัน, เสมอกัน
exactly = อย่างแน่นอน, อย่างแน่ชัด extremely = อย่างสุดยอด
just = อย่างเหมาะ, พอดี much = มาก
2. Adverb of Quantity คือ คำกริยาวิเศษณ์ที่บอกปริมาณของการกระทำว่ามากน้อยหรือบ่อยแค่ไหน เช่น
- He worked little. = เขาทำงานไม่มาก
- She worked much = หล่อนทำงานหนัก
- We won the prize twice = พวกเราได้รับรางวัลสองครั้ง
3. Adverb of Reason คือ คำกริยาวิเศษณ์ที่บอกถึงเหตุผลในการกระทำนั้น ๆ เช่น
- Consequently, he refused to go. = เพราะฉะนั้นเขาจึงได้ปฏิเสธที่จะไปด้วย
- Therefore, they decided to boycott the meeting. = เพราะฉะนั้นพวกเขาจึุงตัดสินใจไม่เข้าร่วมประชุม
- Hence, I am unable to help you. = ดังนั้น ผมจึงไม่สามารถช่วยคุณได้
4. Adverb of Affirmation คือ คำกริยาวิเศษณ์ที่แสดงการยืนยันหรือการปฏิเสธ เช่น
- She is certainly right. I am not going. = หล่อนพูดถูกจริงๆ ผมจะไม่ไป
- He is a fool indeed. = เขาช่างเป็นคนโง่จริง ๆ
- You are surely misunderstood. I will probably go. = คุณเข้าใจผิดอย่างแน่นอน บางทีผมจะไป
2. Interrogative Adverb คือ คำกริยาวิเศษณ์ที่มีหน้าทำหน้าที่เป็นคำถาม ซึ่งอาจเป็นคำเดี่ยว ๆ หรือเป็นคำผสม มักจะวางไว้
ต้นประโยคเสมอ แบ่งออกได้ 6 ประเภท คือ
ต้นประโยคเสมอ แบ่งออกได้ 6 ประเภท คือ
1. บอกเวลา (Time) ได้แก่คำว่า "When" (เมื่อไหร่), "How long" (นานเท่าไหร่) เช่น
- When will you come back? = คุณจะกลับมาเมื่อไหร่?
- How long have you been in Bangkok? = คุณมาอยู่ที่กรุงเทพฯ นานเท่าไหร่แล้วจ๊ะ
2. บอกสถานที่,ตำแหน่ง (Place) ได้แก่คำว่า "Where" เช่น
- Where are you come from? = คุณมาจากไหน?
3. บอกจำนวน (Number) ได้แก่คำว่า How many (มากเท่าไหร่), How often (บ่อยครั้งเท่าไหร่) เช่น
- How many pens do you have? = คุณมีปากกามากเท่าไหร่?
- How often does he go to America? = เขาเดินทางไปอเมริกาบ่อยแค่ไหน?
4. บอกกริยาอาการ (Manner) ได้แก่ คำว่า How (อย่างไร) เช่น
- How are you today? = วันนี้คุณสบายดีหรือเปล่า?
5. บอกปริมาณ (Quantity) ได้แก่ คำว่า How much (มากเท่าไหร่) เช่น
- How much do you eat? = คุณรับประทานมากเท่าไหร่?
6. บอกเหตุผล (Reason) ได้แก่ คำว่า Why (ทำไม) เช่น
- Why do you late? = ทำไมคุณถึงมาสายจ๊ะ?
3. Relative, Conjunction Adverbs คือ คำกริยาวิเศษณ์ที่มีหน้าที่ขยายและเชื่อมประโยคเข้าด้วยกัน ได้แก่ คำว่า When, Where, While, Whenever, How, etc. เช่น
- This is the reason why I left. = นี้คือเหตุผลที่ว่าทำไมฉันจึงต้องไป
- I don't know the place where he lives? = ฉันไม่ทราบว่าเขาอาศัยอยู่ที่ไหน?
การเปรียบเทียบคำกริยาวิเศษณ์ (Comparison of Adverbs)
การเปรียบเทียบคำกริยาวิเศษณ์เพื่อแสดงให้ทราบว่าลักษณะอาการกริยาของบุคคลนั้นกับอีกบุคคลหนึ่งมีมากน้อยกว่ากันหรือไม่
การเปรียบเทียบแบ่งออกได้ 3 ขั้น คือ ขั้นปกติ (Positive Degree), ขั้นกว่า(ComparativeDegree), ขั้นสูงสุด (Superlative Degree) เช่น
1. ขั้นปกติ (Positive Degree) เป็นการเปรียบเทียบเพื่อแสดงความเท่าเทียมกันใช้ as adv as เช่น
- He speaks English as well as Helen. = เขาพูดภาษาอังกฤษเก่งเท่ากับเฮเลน
- She runs as fast as I do. = หล่อนวิ่งเร็วพอ ๆ กับที่ฉัน
การเปรียบเทียบความไม่เท่ากันใช้ not as adv as หรือ not so adv as เช่น
- Tom does not work as fast as Jenny. = ทอมไม่ได้ทำงานหนักเหมือนกับเจนนี่สักหน่อย
- He does not speak English so clearly as I (do). = เขาพูดภาษาอังกฤษได้ไม่ชัดเจนเหมือนกับฉันเลย
2. ขั้นกว่า (Comparative Degree) เป็นการเปรียบเทียบเฉพาะ 2 คน หรือ 2 สิ่ง จะต้องมี than ตามหลังเสมอ เช่น
- He speaks English more fluently than his friends.
- Mary runs faster than Jane.
การเปรียบเทียบขั้นกว่านี้ อาจใช้ much ขยาย adverb ให้ชัดเจนเพิ่มขึ้นก็ได้ เช่น
- My teacher wrote essay much more quickly than students.
3. ขั้นสูงสุด (Superlative Degree) เป็นการเปรียบเทียบตั้งแต่ 3 คนหรือ 3 สิ่งขึ้นไป จะใช้ the นำหน้า adverb หรืออาจจะไม่ใช้ the นำหน้าก็ได้ เช่น
- He runs fastest of all.
รูปของคำกริยาวิเศษณ์ (Forms of Adverbs)
1. เติม -ly ข้างท้ายคำคุณศัพท์ (adjective) เช่น
- slow = slowly
- quick = quickly
หมายเหตุ กลุ่มคำต่อไปนี้ถึงแม้ว่าจะเติม -ly แต่เป็นคำคุณศัพท์ (adjective) คือ friendly, lonely, lovely, likely เป็นต้น
2. คำ adjectives ที่ลงท้ายด้วย -y ให้เปลี่ยน y เป็น i แล้วเติม -ly เช่น
- easy = easily - happy = happily
- angry = angrily - hungry = hungrily
- day = daily - noisy = noisily
3. คำ adjective ที่ลงท้ายด้วย -e ให้เติม -ly เช่น
- extreme = extremely - sincere = sincerely
ยกเว้น คำดังต่อไปนี้ให้ตัด -e ออกแล้วเติม -ly เช่น
- true = truly
4. คำ adjectives ที่ลงท้ายด้วย -le ให้ตัด e ออกแล้วเติม -y เช่น
- sensible = sensibly - simple = simply
5. คำ adjectives บางคำเมื่อเป็น adverbs จะเปลี่ยนรูปไป เช่น
- good - well
6. คำ adjectives ที่ลงท้ายด้วย -ic ให้เติม -ally เช่น กลับด้านหลัก
- ironic = ironically - terrific = terrifically กลับด้านบน
ที่มา : โพสโดย leelaic_nj วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2555, http://www.trueplookpanya.com
เปิดสอนคอร์ส English ออนไลน์ ทาง Facebook, Line, Gmail
เปิดสอนคอร์ส English ออนไลน์ ทาง Facebook, Line, Gmail
Play and Learn together
T.089-4062696
Krunoynar@engmath
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)
การใช้ Pronoun คำสรรพนามภาษาอังกฤษ มีกี่แบบ ใช้อย่างไร
การใช้ Pronoun คำสรรพนามภาษาอังกฤษ มีกี่แบบ ใช้อย่างไร ตารางสรุป ตัวอย่าง cr: tonamorn
-
8.Interjection คือ คำอุทานไม่มีคำของตนเอง แต่อาจนำคำอื่น เช่น วิเศษณ์ คุณศัพท์ กริยา หรือ วลี และประโยค มาพูดเพื่อแสดง...
-
Fill in the blanks with "There is" or "There are" - จงเติม There is หรือ There are